Last updated: 23 ก.ค. 2564 | 1102 จำนวนผู้เข้าชม |
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ Wi-Fi Router สำหรับใช้งานตามบ้านทั่วไปจะมีลักษณะที่แตกต่างเล็กน้อยจาก Wi-Fi ที่ใช้ในองค์กร หรือที่เรียกกันว่า Access Point (AP) โดยเรา Wi-Fi Router สำหรับใช้งานภายในบ้านมักจะมีเสาอากาศภายนอกหลายเสา ดังแสดงในรูปที่ 1 ขณะที่โดยทั่วไปแล้ว AP สำหรับองค์กรที่ใช้ในอาคารจะมีเสาอากาศในตัว ดังแสดงในรูปที่ 2
รูปที่ 1: เราเตอร์ Wi-Fi สำหรับบ้าน รูปที่ 2: AP สำหรับองค์กร
ราคาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่แตกต่าง ซึ่ง Wi-Fi Router สำหรับบ้านมีตั้งแต่ราคาหลักหลายพันบาทจนถึงหลายหมื่นบาท ส่วน AP สำหรับองค์กรมีราคาตั้งแต่หลักหลายหมื่นถึงหลักแสนบาท ซึ่งสาเหตุที่ราคามีความแตกต่างก็คือ คุณสมบัติขั้นสูงที่มากกว่าของ AP ตั้งแต่พอร์ตอินเทอร์เฟซ
Wi-Fi Router ตามบ้านส่วนใหญ่จะเป็นพอร์ตอัพลิงค์ขนาด 100 Mbit/s แม้ว่าจะมีบางพอร์ตที่มีขนาดถึง 1,000 Mbit/s ก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ AP ในอาคารจะติดตั้งอยู่บนเพดาน และมีพอร์ตอัพลิงค์ขนาด GE และ 2.5 GE ทั้งนี้ Wi-Fi 6 รุ่นล่าสุด (802.11ax) AP มีพอร์ตอัพลิงค์ขนาด 10 GE และสามารถรองรับแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้แบนด์วิธสูงได้โดยง่าย เช่น Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ ทีวีความละเอียดสูง (UHDTV)
อุปกรณ์ Wi-Fi สำหรับบ้านโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติต่างๆ ดังต่อไปนี้:
• รองรับโปรโตคอล Wi-Fi แบบ 802.11ac
• รองรับคลื่นความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz, การใช้ความย่านความถี่บน Service Set Identifier (SSID) ในเซตเดียวกัน และการเลือกย่านความถี่อัจฉริยะ
• ควบคุมพฤติกรรมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และแยกเครือข่ายโฮสต์ออกจากเครือข่ายผู้ใช้งานภายนอก
• ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดเวลาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและควบคุมความเร็วของเครือข่ายโดยอิงตามความต้องการของอุปกรณ์ปลายทาง
นอกจากนี้ AP สำหรับองค์กรยังมีความซับซ้อนมากกว่า ตัวอย่างเช่น โปรโตคอลแบบไร้สายที่รองรับการทำงานได้มากกว่า โปรโตคอลมาตรฐาน Wi-Fi พัฒนาจาก 802.11b, 802.11g, 802.11n, 802.11ac และ 802.11ac Wave 2 มาเป็น 802.11ax รุ่นล่าสุด อัตราการส่งข้อมูลจะเพิ่มขึ้นตามนี้: 100 Mbit/s สำหรับ 802.11b/g/n, 1,000 Mbit/s สำหรับ 802.11ac และ 802.11ac Wave 2 และ 110 Gbit/s สำหรับ 802.11ax
ดังนั้นการพัฒนาของโปรโตคอล Wi-Fi ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Wi-Fi เพิ่มขึ้นและมีความสามารถในการเข้าถึงเครือข่ายเพิ่มขึ้นหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม Wi-Fi Router สำหรับบ้านบางรุ่นในตลาดมีชิพแบบเดียวกับที่ใช้ในองค์กร เช่น 802.11ac Wave 1 ซึ่งใน AP สำหรับองค์กรส่วนใหญ่จะรองรับ 802.11ac Wave 2 และ AP รุ่นล่าสุดจะรองรับมาตรฐาน 802.11ax
อุปกรณ์ Wi-Fi ทั้งสำหรับบ้านและองค์กรจะรองรับคลื่นความถี่ทั้งในย่าน 2.4 GHz และ 5 GHz ซึ่งโดยส่วนใหญ่อุปกรณ์จะเลือกเชื่อมสัญญาณบนคลื่นความถี่ 5 GHz ก่อน นอกเหนือจากนี้ AP สำหรับองค์กรจะมีระบบการกระจายสัญญาณ (load balancing) เพื่อทำให้สัญญาณกระจายไปอย่างทั่วถึง โดยใช้ประโยชน์จากแบนด์วิธ 2.4 GHz และ 5 GHz ได้ดีขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว Wi-Fi Router สำหรับบ้านจะรองรับการทำงานแบบ แยกระหว่างเครือข่าย Wi-Fi โฮสต์และเครือข่าย Wi-Fi ของผู้ใช้จากภายนอก แต่ AP สำหรับองค์กรจะมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น ในกรณีส่วนใหญ่ AP รองรับการทำ SSIDs ได้มากกว่า 16 เครือข่าย ซึ่งสามารถใช้กับผู้ใช้ประเภทต่างๆ ได้ พนักงานบริษัทสามารถใช้ SSID ได้หนึ่งเครือข่าย ตัวอย่างเช่น คนนอกที่เข้ามาใช้เครือข่ายขององค์กร, อุปกรณ์สำนักงาน และอุปกรณ์การผลิตก็จะสามารถเชื่อมต่อกับ SSID ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ โดยการใช้ SSID เหล่านี้และการกำหนด LAN เสมือน (VLAN) จะสามารถใช้เครือข่ายย่อยอิสระกับคุณสมบัติด้านการพิสูจน์ตัวตนและนโยบายการเข้าถึงที่แตกต่างกัน ด้วยวิธีนี้ จะมีใช้การแยกการรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรระหว่าง WLAN และเครือข่ายแบบใช้สาย ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวไม่มีในผลิตภัณฑ์ Wi-Fi สำหรับบ้านแบบทั่วไป
ในขณะที่ Wi-Fi Router สำหรับบ้านจะสามารถกำหนดเวลาและความเร็วในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ส่วน AP สำหรับองค์กรจะต้องอาศัย SSID และแอปพลิเคชันต่างๆ (เช่น Skype, Google Hangouts และ FaceTime) นอกเหนือจากการควบคุมการเข้าถึงโดยใช้ URLs
ความแตกต่างภายในอุปกรณ์ Wi-Fi
อุปกรณ์ Wi-Fi สำหรับบ้านและองค์กรยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในด้านส่วนประกอบต่างๆ ภายในอุปกรณ์ ส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ ชิพ, แผ่นวงจรพิมพ์ (PCB), เสาอากาศและแหล่งจ่ายไฟ
โดยทั่วไป Wi-Fi Router สำหรับบ้านใช้ชิพที่มีราคาไม่สูงนัก ซึ่งให้สมรรถนะการประมวลผล CPU ที่ต่ำ ดังนั้น เมื่อมีอุปกรณ์ 5 ถึง 10 เครื่องเชื่อมต่อกับ Wi-Fi Router สำหรับบ้าน CPU ของเราเตอร์จะตอบสนองได้ช้า ซึ่งทำให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ความเร็วที่ต่ำลง และแม้กระทั่งอาจทำให้เครื่องปลายทางบางเครื่องเกิดการออฟไลน์ ขณะที่ AP ของผู้ผลิตรายหลักๆส่วนใหญ่จะสามารถรองรับอุปกรณ์ปลายทางได้มากถึง 512 เครื่อง และการันตีความเร็ว และประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้พร้อมกันสูงสุดอยู่ที่ 60 เครื่อง นอกจากนี้ สมรรถนะของ CPU และการส่งกำลังของ AP สำหรับองค์กรจะสูงกว่า Wi-Fi Router สำหรับบ้านมาก ดังนั้น จำนวนอุปกรณ์ปลายทาง, ความเสถียรและพื้นที่ครอบคลุมของ AP Wi-Fi สำหรับองค์กรจึงดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
Wi-Fi Router สำหรับบ้านไม่รองรับการปรับช่องสัญญาณและความแรงในการส่งสัญญาณ อัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อความแรงของสัญญาณแสดงผลอยู่ในระดับดีบนอุปกรณ์ปลายทาง แต่ก็ไม่การันตีว่าคุณภาพการเชื่อมต่อจะดี และสัญญาณอาจหลุดเป็นครั้งคราว ต่างกับสัญญาณของ AP องค์กรที่จะต้องได้รับการทดสอบและมีระบบการปรับช่องสัญญาณและความแรงในการส่งสัญญาณอย่างเข้มงวดเพื่อทำให้แน่ใจในสมรรถนะที่สูงอยู่เสมอ
นอกจากนี้คุณภาพของ PCB ภายในอุปกรณ์ Wi-Fi ยังมีความสำคัญต่อการสร้างความมั่นใจในสมรรถนะอีกด้วย ในขณะที่ Wi-Fi Router สำหรับบ้านบางรุ่นใช้ PCB แบบ 4 ชั้น ส่วนใหญ่จะใช้บอร์ดแบบ 2 ชั้น จึงส่งผลให้ชั้นแหล่งจ่ายไฟในบอร์ดอาจไม่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถทำให้สัญญาณรบกวนระบบดิจิทัลเข้าแทรกรบกวนสัญญาณวิทยุได้ ทั้งนี้ PCB ของ AP องค์กรมี 4 ถึง 8 ชั้น ซึ่งช่วยลดสัญญาณรบกวนและปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณให้ดีขึ้น เพื่อการติดตั้งที่สะดวกมากขึ้นและการครอบคลุมที่ดีกว่า AP สำหรับองค์กรต้องใช้เสาอากาศในตัว เสาอากาศเหล่านี้รองรับการตรวจจับสัญญาณรบกวนโดยรอบและตำแหน่งผู้ใช้โดยอัตโนมัติ และการปรับความแรงของสัญญาณในแต่ละทิศทางอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้เสาอากาศแบบ Small-angle high-density ยังสามารถปรับใช้กับการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความครอบคลุมของสัญญาณแบบไร้สายให้ดีขึ้น ด้วยข้อกำหนดของผู้ใช้ในบ้านและค่าใช้จ่ายที่จำกัด Wi-Fi Router สำหรับบ้านจึงใช้เสาอากาศภายนอกแบบง่ายๆ ที่ไม่เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานเหมือนกับ AP ขององค์กร
และในประเด็นสุดท้าย อุปกรณ์ Wi-Fi สำหรับบ้านและองค์กรก็ยังมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าที่แตกต่างกัน AP สำหรับองค์กรจำนวนมากรองรับความสามารถของเทคโนโลยี Power over Ethernet (PoE) แบบ IEEE 802.3af ทั้งนี้ เพื่อทำให้แน่ใจในการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ต่างๆ AP ส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานแหล่งจ่ายไฟ IEEE 802.3af เป็นฟังก์ชั่นพื้นฐาน ขณะที่โดยทั่วไปแล้ว Wi-Fi Router สำหรับบ้านไม่รองรับฟังก์ชั่น PoE ดังนั้น จึงต้องใช้อะแดปเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเติม
ความแตกต่างในการโรมมิ่ง
ฟังก์ชั่นโรมมิ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Wi-Fi ได้จากที่เดียวและเคลื่อนที่ไปยังสถานที่อื่นๆ ที่ให้บริการโดยอุปกรณ์การเข้าถึงอื่น ๆ โดยไม่สูญเสียการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในระหว่างการโรมมิ่ง ซึ่งอุปกรณ์ปลายทาง เช่น สมาร์ทโฟนจะเปลี่ยนสลับอุปกรณ์เข้าถึง Wi-Fi จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ตามบ้านจะใช้ Wi-Fi Router เพียงเครื่องเดียวเพื่อให้ครอบคลุมทั่วทั้งบ้าน ดังนั้น Router สำหรับบ้านจึงไม่ได้รองรับการโรมมิ่งโดยเฉพาะการโรมมิ่งยังคงสามารถทำงานบน Router สำหรับบ้านได้ แต่กลับมีความต้องการที่สูงขึ้นบนอุปกรณ์ปลายทางของผู้ใช้
เมื่อพิจารณาธุรกิจที่มีสำนักงานสี่แห่งเชื่อมต่อกันเป็นห้องโถงยาว มีการใช้ Wi-Fi Router สำหรับบ้านสี่เครื่องด้วยกันโดยแต่ละเครื่องใช้ในสำนักงานแต่ละแห่งและ Router แต่ละเครื่องมี SSID ของตัวเอง สำหรับการโรมมิ่งนั้น สมาร์ทโฟนต้องเชื่อมต่อกับ Router แต่ละตัวตามลำดับ โดยใช้ SSID และรหัสผ่านของ Router เครื่องนั้นๆ จึงเป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟนจะทำสิ่งนี้ได้โดยอัตโนมัติหากใส่รหัสผ่านก่อนหน้านั้น ผู้ใช้ภายนอกบริษัทจะต้องใส่รหัสผ่านแต่ละครั้งด้วยตนเอง ในขณะที่เดินจากสำนักงานแห่งหนึ่งไปยังสำนักงานอีกแห่งหนึ่ง แล้วการกำหนดค่า SSID หนึ่งเครือข่าย และรหัสผ่านเหมือนกันสำหรับ Wi-Fi Router สำหรับบ้านทั้งสี่เครื่องเป็นอย่างไรล่ะ? แม้ว่าโทรศัพท์จะตรวจจับ SSID ได้เพียงเครือข่ายเดียว แต่เมื่อผู้ใช้เดินจากสำนักงานแห่งหนึ่งไปยังสำนักงานอีกแห่งหนึ่ง โทรศัพท์ก็จะยังคงเชื่อมต่อกับสัญญาณ Wi-Fi ของ Router เครื่องก่อนหน้านั้น และไม่สามารถเชื่อมโยงกับ Router ที่ใกล้กว่าซึ่งให้สัญญาณแรงกว่า เมื่อผู้ใช้อยู่ห่างจาก Router เครื่องเดิมมากขึ้น สัญญาณ Wi-Fi จะถูกขัดจังหวะในที่สุด และโทรศัพท์จะถูกตรวจสอบตัวตนอีกครั้งเพื่อเชื่อมต่อกับ Router ที่อยู่ใกล้กว่า แม้ว่าผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อใหม่ด้วยตนเองหรือป้อนรหัสผ่าน แต่บริการเครือข่ายก็จะถูกขัดจังหวะ
ดังนั้น บนเครือข่าย Wi-Fi ในบ้าน อุปกรณ์ปลายทางเคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์การเข้าถึงใหม่หลังจากตัดการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ก่อนหน้านั้นและการพิสูจน์ตัวตนใหม่อีกครั้งเท่านั้น ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นบน AP สำหรับองค์กร หลังจากที่กลุ่มอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้รับการกำหนดค่าผ่าน Access Controller หรือแพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์ AP สามารถแบ่งปันข้อมูลการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้ ในลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้สามารถโรมมิ่งได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ขัดจังหวะการให้บริการ และไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ตัวตนใหม่อีกครั้ง เครื่องปลายทางสามารถถูกระบุได้ตลอดเวลาและนำทางไปสู่ AP เครื่องที่อยู่ใกล้หรือมีการสูญเสียการเชื่อมต่อเพียงเล็กน้อย, สัญญาณดีและมีอัตราการเชื่อมต่อข้อมูลได้สูง
การปรับช่องสัญญาณและกำลังโดยอัตโนมัติ
เคล็ดลับข้อหนึ่งสำหรับการปรับปรุงความเร็วในการเข้าถึง Wi-Fi ของ Router ในบ้านก็คือการเปลี่ยนสลับช่องสัญญาณ Wi-Fi Router เป็นช่อง 6 ช่องสัญญาณค่าเริ่มต้น 2.4 GHz ของ Wi-Fi Router สำหรับบ้านเป็นช่อง 1 ดังนั้น คนส่วนใหญ่ในละแวกใกล้เคียงอาจใช้ช่อง 1 ซึ่งทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณมากมาย ความแรงของสัญญาณอาจแสดงในระดับสูงบนอุปกรณ์ปลายทาง แต่ความเร็วของเครือข่ายอาจอยู่ในระดับต่ำหรืออุปกรณ์ปลายทางอาจเกิดการออฟไลน์บ่อยครั้ง
AP สำหรับองค์กรลดการรบกวนประเภทนี้โดยมีฟังก์ชั่นอัตโนมัติที่ Router สำหรับบ้านทำไม่ได้: การปรับช่องสัญญาณ และความแรงในการส่งสัญญาณอัตโนมัติด้วยช่องสัญญาณแบบไดนามิก ในกรณีส่วนใหญ่ มีการใช้ AP จำนวนมากบนเครือข่ายต่างๆ ขององค์กร โดยรวมถึงห้างสรรพสินค้า, ถนนคนเดิน, สนามกีฬาและสำนักงานต่างๆ หากมีการปรับพารามิเตอร์ช่องสัญญาณของ AP แต่ละเครื่องด้วยมือ ปริมาณงานจะมีจำนวนมาก ดังนั้น หลังจากติดตั้ง AP ขององค์กรแล้ว ขั้นตอนวิธีการปรับความแรงของสัญญาณวิทยุจะช่วยให้สามารถปรับช่องสัญญาณต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ เพื่อลดสัญญาณรบกวนระหว่าง AP
แอปพลิเคชันและการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาด
สำหรับวิศวกรเครือข่าย เครือข่าย Wi-Fi ฟรีในโรงแรมหรือร้านอาหารที่ต้องให้ผู้ใช้ลงทะเบียนเพื่อขอรหัสผ่านไม่ใช่เครือข่าย Wi-Fi องค์กรที่แท้จริง เครือข่าย Wi-Fi องค์กรไม่จำเป็นต้องขอรหัสผ่าน ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านการพิสูจน์ตัวตนตามวิธีการได้ อย่างเช่น รหัสยืนยันทาง SMS, การลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือการเข้าสู่ระบบบัญชีสาธารณะ WeChat ในช่วงระหว่างการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้ เครือข่าย Wi-Fi องค์กรสามารถแสดงโฆษณาผู้ขายในหน้าเพจพอร์ทัล, โฆษณาแบรนด์สินค้าต่างๆและผลักดันให้บัญชีสาธารณะหรือแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถดึงดูดผู้ติดตามและให้บริการออนไลน์สำหรับลูกค้าได้
นอกจากนี้ เครือข่าย Wi-Fi องค์กรยังมีแพลตฟอร์มการบริหารข้อมูลผู้ใช้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติต่างๆเกี่ยวกับผู้ใช้ออนไลน์และวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ออนไลน์ เพื่อให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ Wi-Fi ขององค์กรได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น Agile Controller-Campus ของหัวเว่ย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์ สามารถบริหารอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ทั้งหมดจากระยะไกลได้ที่สาขาต่างๆ ในลักษณะรวมศูนย์ แพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์นี้ช่วยให้ผู้ขายรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้, บันทึกอัตราการเข้าชมของลูกค้ารายวันอย่างชาญฉลาดและจัดทำสถิติที่ชัดเจนสำหรับผู้ขาย ผู้ขายต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้เพื่อดำเนินการร้านค้าต่างๆ และรักษาอัตราการเข้าชมของลูกค้าได้ แม้ว่าจะมีการใช้ AP เพียงเครื่องเดียวบนแพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์ ผู้ขายก็สามารถใช้เครื่องมือทางการตลาดเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์การพิสูจน์ตัวตนในพื้นที่ ระบบที่ไม่ยุ่งยากเช่นนี้ช่วยลดการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างมาก
ความแตกต่างด้านระบบเครือข่ายและการบริหารจัดการ
ระบบเครือข่ายของ Wi-Fi Router สำหรับบ้านจะไม่ซับซ้อน โดยสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับโมเดมหรือพอร์ตเครือข่าย DSL และบริหารแบบไร้สายหรือผ่านสายเคเบิลเครือข่ายกับ Router
ในทางตรงกันข้าม องค์กรอาจมี AP หลายสิบหรือหลายร้อยเครื่องที่ต้องทำการบริหารในลักษณะที่เป็นระบบและเป็นศูนย์กลาง การบริหารระยะไกลจากศูนย์กลางสามารถทำได้โดย WLAN Access Controllers (ACs) หรือแพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์ เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารผ่าน Access Controller แบบเดิม แนวทางการบริหารระบบคลาวด์ก็ค่อยๆ กลายเป็นวิธีการทางเลือกสำหรับองค์กรต่างๆ เพราะสามารถบริหารสำนักงานสาขาจากระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพในลักษณะที่เป็นศูนย์กลางและโดยอัตโนมัติ ด้วยการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ระบบคลาวด์บริหารและไลเซนส์ต่างๆ องค์กรสามารถกำหนดค่าและตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ บนระบบคลาวด์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องปรับใช้ Access Controller, ระบบบริหารเครือข่าย (NMS) และเซิร์ฟเวอร์การพิสูจน์ตัวตนในพื้นที่ การใช้ทรัพยากรต่างๆ เหล่านี้บนระบบคลาวด์ช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นของเครือข่ายได้อย่างมาก
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการบริหารระบบคลาวด์ยังมี APIs แบบเปิดที่ช่วยให้ผู้ใช้ต่างๆ สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ผู้ใช้ยังสามารถอนุญาตผู้ให้บริการด้านการบริหารระดับมืออาชีพ (MSPs) ให้ดำเนินการบริหารเครือข่ายและ O&M ในขณะที่องค์กรก็สามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจต่อไป
บทความนี้นำเสนอรายละเอียดด้านความแตกต่างระหว่าง Wi-Fi สำหรับบ้านและสำหรับองค์กร เมื่อใช้งานเครือข่าย Wi-Fi องค์กรต่างๆ สามารถได้รับประโยชน์จากการพิจารณาทางเลือกของอุปกรณ์ต่างๆ และแพลตฟอร์มเครือข่ายการบริหารระบบคลาวด์อย่างระมัดระวังที่สามารถส่งมอบคุณสมบัติต่างๆ และบริการที่เชื่อถือได้ซึ่งจำเป็นสำหรับเครือข่ายแบบไร้สายต่างๆ ที่มีความสถียร องค์กรต่างๆ สามารถค้นพบโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยการสำรวจค่าข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายต่างๆ
23 ก.ค. 2564
13 ก.ค. 2564
13 ก.ค. 2564
13 ก.ค. 2564